วันอาทิตย์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2555

P L C ฮาร์ดแวร์สำหรับโมดูลนี้ประกอบด้วยไฟฟ้าลมระบบสายการผลิต บันไดตรรกะแก้ไขการเขียนโปรแกรมและระบบไดรฟ์ได้รับการออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับการศึกษาที่เลียนแบบตัวควบคุมตรรกะโปรแกรมที่ใช้ในอุตสาหกรรม, รวมทั้งยังเป็น งานเขียนโปรแกรมทั้งหมดที่นักเรียนเสร็จสมบูรณ์สามารถทดสอบทั้งสายการผลิตจำลองและระบบฮาร์ดแวร์จริง โดยใช้การจำลองบนหน้าจอของสายการผลิตที่คุณสามารถเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกคนลงในระบบการฝึกอบรมทำงานอย่างเต็มที่ ซึ่งหมายความว่าคุณจะต้องระบบฮาร์ดแวร์หนึ่งในห้องเรียนนักเรียนพัฒนาและทดสอบโปรแกรมในคอมพิวเตอร์ของตนเองก่อนที่จะย้ายไปรุ่นสุดท้ายฮาร์ดแวร์จริง โมดูลควบคุม ST290 อุตสาหกรรมนำประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมทั่วไปเข้าไปในห้องเรียนที่ท้าทายให้นักเรียนคิดอย่างวิศวกรจริงและแก้ปัญหาที่แท้จริง เขียนได้ดีวัสดุหลักสูตรมาพร้อมกับโมดูลนี้แนะนำนักเรียนเกี่ยวกับอุตสาหกรรมบันไดโปรแกรมมาตรฐานตรรกะ ผ่านชุดความก้าวหน้าของงานที่พวกเขาค้นพบแนวคิดและเทคนิคการเขียนโปรแกรมที่จะใส่เข้าไปในการปฏิบัติในช่วงท้าทายในการออกแบบ. งานขั้นสุดท้ายคือสำหรับพวกเขาจะใช้ทักษะของพวกเขาทั้งหมดในการออกแบบและทดสอบระบบการเลือกชิ้นส่วน บทเรียนสำเร็จรูปสำหรับครูและนักเรียนทั้งให้แนวทางการเรียนรู้แบบผสมผสาน. นี้ให้โอกาสในการเรียนรู้ที่เป็นอิสระการสาธิตการทำงานเป็นทีมและกลุ่มที่จะดำเนินการ การนำเสนอผลงานใน PowerPoint ทฤษฎีเปิดใช้งานผู้สอนที่จะแนะนำหัวข้อและครอบคลุมแนวคิดหลัก เมื่อใช้กับระบบการตอบสนองของนักเรียนติดตามอัตโนมัติแบบบูรณาการของคำถามและตอบทันทีจะช่วยให้มีส่วนร่วมและตื่นเต้นนักเรียน. นี้ยังช่วยประหยัดเวลาที่มีคุณค่ากับผู้ปกครองโดยอัตโนมัติเครื่องหมายและการรายงาน เนื้อหาการเรียนรู้นักเรียนเป็นศูนย์กลางได้รับการออกแบบสำหรับการส่งมอบความยืดหยุ่นจากระบบคอมพิวเตอร์เซิร์ฟเวอร์หรือการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต. รูปแบบ html มันตรงตามความต้องการของมาตรฐาน SCORM สำหรับการเข้าถึงบนเวทีการเรียนรู้เสมือน. มันรวมถึงการประเมินอย่างต่อเนื่องและปลายทางสำหรับการติดตามโดยอัตโนมัติและเครื่องหมาย ความคืบหน้าของนักเรียนนักเรียนเปรียบเทียบและความคมชัดที่กำหนดเองชุดและเทคนิคการผลิตมวลโดยการสำรวจวิธีการที่แตกต่างกันของการประกอบเกียร์ ส่วนงานการจัดการตลอดหลักสูตรต้องโปรแกรมตรวจสอบสวิทช์ลำแสงอินฟราเรดเซ็นเซอร์, ลูกสูบสวิทช์กกใกล้ชิดและการควบคุมกระบอกสูบของโคมไฟ, มอเตอร์สายพานลำเลียงและถังแก๊ส จำลองของสายการผลิตจะช่วยให้นักเรียนได้พัฒนาโปรแกรมของพวกเขาโดยไม่จำเป็นต้องสำหรับฮาร์ดแวร์ที่จะเชื่อมต่อ นักเรียนสามารถทำซ้ำงานในทางปฏิบัติที่พวกเขาสามารถทำกับฮาร์ดแวร์จริงขวาบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ของพวกเขา แก้ไขรวมถึงองค์ประกอบตรรกะของตัวควบคุมในเชิงพาณิชย์ แต่การแสดงกราฟิกของส่วนประกอบเซ็นเซอร์และตัวกระตุ้นในสายการผลิตที่ทำให้การตีความโปรแกรมที่ง่ายมาก ต่อมาเมื่อบรรณาธิการสามารถเปลี่ยนเปลี่ยนองค์ประกอบกราฟิกที่มีสัญลักษณ์ได้รับการยอมรับในอุตสาหกรรม ระบบแผงไฟบนสายการผลิตครูช่วยให้การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ที่จะตัดการเชื่อมต่อ หากมีหน่วยใด PLC เชิงพาณิชย์นั้นจะสามารถโอนไปยังสายการผลิต. โปรแกรมการพัฒนาในเชิงพาณิชย์สำหรับหน่วยตอนนี้ใช้เวลาการควบคุมของระบบ นี้จะช่วยให้ฮาร์ดแวร์ที่จะใช้เป็นโปรแกรมการเรียนการสอน PLCs อุตสาหกรรมให้กับนักเรียนในระดับที่สูง

วันอาทิตย์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2555

เครื่องจักร nc






            เป็นเครื่องเกไม้โดยใช้คอมพิวเตอร์เป็นตัวส่งขอมูลหรือแบบที่เราต้องการไปยังเครื่องกัดหรือเกไม้  ดังในวีดีโอข้างต้น

วันอาทิตย์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ประวัติส่วนตัว

ชื่อ นาย  สมศักดิ์   สามสุวรรณ์
อยู่บ้านเลขที่  69  ม.3 ต.คลองทราย อ.นาทวี จ.สงขลา  90160
เบอร์ โทร  0828275434

รายชื่อสมาชิกในห้อง

อาจารย์  ธภัทร  ชัยชูโชค        อาจารย์ผู้สอน
นาย  ทวีชัย  สุวรรณตานนต์    ปอน
นาย  กิติพงษ์  สิบมอง             แบงค์
นาย  วุฑฒิชัย  คำแก้ว             ซูง
นาย  สุทธิพงศ์  จันทร์บัว         แม็ค
นาย  พรชัย   ชูสุวรรณ์             เฉียง
นาย  วันเฉลิม  จันทร์ศรี           ลิง
นางสาว  ปยะนุช  โพธิ์ถึง         นุช

เทคโนโลยีการสือสาร



เรื่อง  แนวคิดการใช้เทคโนโลยีช่วยการเรียนรู้


                   ปัจจุบัน ทั่วโลกให้ความสำคัญกับการลงทุนทางเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (Information and Communication Technology : ICT) เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการพัฒนาประเทศ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และการศึกษา จนเกิดความแตกต่างระหว่างประเทศที่มีความพร้อมทาง ICT กับประเทศที่ขาดแคลนที่เรียกว่า Digital Divide  ในขณะเดียวกันประเทศทั่วโลกต่างมุ่งสร้างสังคมใหม่ให้เป็นสังคมที่ใช้ความรู้เป็นฐาน (Knowledge Based Society) จนเกิดความแตกต่างระหว่างสังคมที่สมบูรณ์ด้วยความรู้ กับสังคมที่ด้อยความรู้ ที่เรียกว่า Knowledge Divide  ในยุคของการปฏิรูปการศึกษา ต่างก็เร่งพัฒนาการศึกษาให้การศึกษาไปพัฒนาคุณภาพของคน เพื่อให้คนไปช่วยพัฒนาประเทศ  เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) จึงเป็นเครื่องมือที่มีคุณภาพสูงในการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการจัดการศึกษา เช่น ช่วยนำการศึกษาให้เข้าถึงประชาชน (Access) ส่งเสริม การเรียนรู้ต่อเนื่องนอกระบบโรงเรียน และการเรียนรู้ตามอัธยาศัย  ช่วยจัดทำข้อมูลสารสนเทศเพื่อการบริหารและจัดการ  ช่วยเพิ่มความรวดเร็วและแม่นยำในการจัดทำข้อมูล และการวิเคราะห์ข้อมูล  การเก็บรักษา และการเรียกใช้ในกิจกรรมต่าง ๆ ในงานจัดการศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้เทคโนโลยีเพื่อช่วยการเรียนการสอน แต่การให้ความสนใจกับการใช้เทคโนโลยีช่วยการเรียนรู้ของผู้เรียนก็อาจหลงทางได้  ถ้าผู้บริหารสถานศึกษายึดถือการมีเทคโนโลยีเป็นจุดหมายปลายทาง ของการศึกษา  แทนที่จะยึดถือผลการเรียนรู้เป็นจุดหมาย ปรากฏการณ์ของการหลงทางจะพบเห็นในการประชาสัมพันธ์ถึงความพร้อมทางระบบคอมพิวเตอร์ การมีเครือข่ายโยงเข้า Internet สะดวก  ผู้เรียนเรียนรู้การใช้เทคโนโลยีและมีโอกาสใช้ได้เต็มที่ แต่ในบางสถานศึกษาผู้เรียนอาจใช้เทคโนโลยีไม่คุ้มค่า ขาดเป้าหมายในการเรียนรู้สาระสำคัญตามหลักสูตรวิชาต่าง ๆ และขาดโอกาสในการใช้เทคโนโลยีเพื่อพัฒนากระบวนการทางปัญญาอย่างแท้จริง


เทคโนโลยีกับการเรียนการสอน

                   ปกติเทคโนโลยีจะเกี่ยวข้องกับการเรียนการสอน 3 ลักษณะ คือ
                         1.  การเรียนรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยี (Learning about Technology) ได้แก่ การเรียนรู้ระบบการทำงานของคอมพิวเตอร์ เรียนรู้จนสามารถใช้ระบบคอมพิวเตอร์ได้ ทำระบบข้อมูลสารสนเทศเป็น สื่อสารข้อมูลทางไกลผ่าน Email และ Internet ได้ เป็นต้น
                         2.  การเรียนรู้โดยใช้เทคโนโลยี (Learning by Technology) ได้แก่ การเรียนรู้ความรู้  ใหม่ ๆ และฝึกความสามารถ ทักษะบางประการ โดยใช้สื่อเทคโนโลยี เช่น  ใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) เรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ ทางโทรทัศน์ที่ส่งผ่านดาวเทียม การค้นคว้าเรื่องที่สนใจผ่าน Internet  เป็นต้น
                         3.  การเรียนรู้กับเทคโนโลยี (Learning with Technology) ได้แก่การเรียนรู้ด้วยระบบ การสื่อสาร 2 ทาง (Interactive) กับเทคโนโลยี เช่น การฝึกทักษะภาษากับโปรแกรมที่ให้ข้อมูลย้อนกลับถึงความถูกต้อง (Feedback) การฝึกการแก้ปัญหากับสถานการณ์จำลอง (Simulation) เป็นต้น


แนวคิดในการเพิ่มคุณค่าของเทคโนโลยีช่วยการเรียนรู้

                   1.  การใช้เทคโนโลยีพัฒนากระบวนการทางปัญญา
                         กระบวนการทางปัญญา (Intellectual Skills) คือ กระบวนการที่มีองค์ประกอบสำคัญ คือ
                                (1)  การรับรู้สิ่งเร้า (Stimulus)
                                (2)  การจำแนกสิ่งเร้าจัดกลุ่มเป็นความคิดรวบยอด (Concept)
                                (3)  การเชื่อมโยงความคิดรวบยอดเป็นกฎเกณฑ์ หลักการ (Rule) ด้วยวิธีอุปนัย (Inductive)
                                (4)  การนำกฎเกณฑ์ หลักการไปประยุกต์ใช้ด้วยวิธีนิรนัย (Deductive)
                                (5)  การสรุปเป็นองค์ความรู้ใหม่ ๆ (Generalization)
                                ระบบคอมพิวเตอร์มีสมรรถนะสูงที่จะช่วยพัฒนาผู้เรียนให้มีความฉลาดในกระบวนการทางปัญญานี้ โดยครูอาจจัดข้อมูลในเรื่องต่าง ๆ ในวิชาที่สอน  ให้ผู้เรียนฝึกรับรู้ แสวงหาข้อมูล นำมาวิเคราะห์กำหนดเป็นความคิดรวบยอดและใช้คอมพิวเตอร์ช่วยแสดงแผนผังความคิดรวบยอด (Concept Map) โยงเป็นกฎเกณฑ์ หลักการ ซึ่งผู้สอนสามารถจัดสถานการณ์ให้ผู้เรียนฝึก การนำกฎเกณฑ์ หลักการไปประยุกต์ จนสรุปเป็นองค์ความรู้อย่างมีเหตุผล บันทึกสะสมไว้เป็นคลังความรู้ของผู้เรียนต่อไป
                   2.  การใช้เทคโนโลยีพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหา
                         การเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางหรือถือว่าผู้เรียนสำคัญที่สุดนั้น สามารถออกแบบแผนการเรียนการสอนให้ผู้เรียนมีโอกาสทำโครงงานแสวงหาความรู้ตามหลักสูตร หาความรู้ในเรื่องที่ผู้เรียนสนใจ หรือเพื่อแก้ปัญหา (Problem-Based Learning) การเรียนรู้ลักษณะนี้จะเริ่มต้นด้วยการกำหนดประเด็นเรื่อง (Theme) ตามมาด้วยการวางแผนกำหนดข้อมูลหรือสาระที่ต้องการ ผู้สออาจจัดบุญชีแสดงแหล่งข้อมูล (Sources) ทั้งจากเอกสารสิ่งพิมพ์ และจาก Electronic Sources เช่น  ชื่อของ Web ต่าง ๆ ให้ผู้เรียนแสวงหาข้อมูล วิเคราะห์ สังเคราะห์ เป็นคำตอบ สร้างเป็นองค์ความรู้ต่าง ๆ  โดยใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือช่วย และครูช่วยกำกับผลการเรียนรู้ให้เป็นไปตามมาตรฐานคุณภาพที่ต้องการ  ทั้งนี้ครูจะมีบทบาทสำคัญในการช่วยชี้แนะทิศทางของการแสวงหาความรู้หรือแนะนำผู้เรียนให้พัฒนาความรู้ความสามารถเพิ่มขึ้นให้สอดคล้องกับมาตรฐานคุณภาพผลการเรียนรู้                             


แนวคิดของบิลล์ เกตส์ (Bill Gate) เกี่ยวกับการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการศึกษา

                   1.  การเรียนไม่ได้มีเฉพาะในห้องเรียน ในโลกยุคปัจจุบัน คนสามารถที่จะเรียนได้จากแหล่งความรู้ที่หลากหลาย โดยเฉพาะทางด่วนข้อมูล (Information Superhighway) ซึ่งกำลังจะมีบทบาท และมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการจัดการศึกษาของมนุษย์
                   2.  ผู้เรียนมีความแตกต่างระหว่างบุคคล บิลล์ เกตส์ ได้อ้างทฤษฎีอาจารย์วิชาการศึกษาที่ว่า เด็กแต่ละคนมีความแตกต่างกันจึงจำเป็นจะต้องจัดการเรียนการสอน ให้สอดคล้องกับความแตกต่างระหว่างบุคคล เพราะเด็กแต่ละคนมีความรู้ความเข้าใจ ประสบการณ์ และการมองโลกแตกต่างกันออกไป
                   3.  การเรียนที่ตอบสนองความต้องการรายคน  การศึกษาที่สอนเด็กจำนวนมาก โดยรูปแบบที่จัดเป็นรายชั้นเรียน ในปัจจุบันไม่สามารถที่จะตอบสนองความต้องการของเด็กเป็นรายคนได้ แต่ด้วยอำนาจ และประสิทธิภาพของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ การเรียนตามความต้องการของแต่ละคน ซึ่งเป็นความฝันของนักการศึกษามานานแล้วนั้น สามารถจะเป็นจริงได้โดยมีครูคอยให้การดูแลช่วยเหลือ และแนะนำ
                   4.  การเรียนโดยใช้สื่อประสม  ในอนาคตห้องเรียนทุกห้องจะมีสื่อประสมจากเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่เด็กสามารถเลือกเรียนเรื่องต่าง ๆ ได้ตามความต้องการ
                   5.  บทบาทของทางด่วนข้อมูล กับการสอนของครู  ด้วยระบบเครือข่ายทางด่วนข้อมูล      จะทำให้ได้ครูที่สอนเก่ง จากที่ต่าง ๆ มากมายมาเป็นต้นแบบ และสิ่งที่ครูสอนนั้นแทนที่จะใช้กับเด็กเพียงกลุ่มเดียว ก็สามารถสร้าง Web Site ของตนขึ้นมาเพื่อเผยแผ่ จะช่วยในการปฏิวัติการเรียนการสอนได้มาก
                   6.  บทบาทของครูจะเปลี่ยนไป ครูจะมีหลายบทบาทหน้าที่ เช่น  ทำหน้าที่เหมือนกับครูฝึกของนักศึกษาคอยช่วยเหลือให้คำแนะนำ เป็นเพื่อนของผู้เรียน เป็นทางออกที่สร้างสรรค์ให้กับเด็ก  และเป็นสะพานการสื่อสารที่เชื่อมโยงระหว่างเด็กกับโลก ซึ่งอันนี้ก็คือบทบาทที่ยิ่งใหญ่ของครู
                   7.  ความสัมพันธ์ระหว่าง นักเรียน ครู และผู้ปกครอง  จะใช้ระบบทางด่วนข้อมูลคอมพิวเตอร์  ช่วยเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่าง นักเรียน ครู และผู้ปกครอง เช่น  การส่ง E-mail จากครู ไปถึงผู้ปกครอง
                   ความคิดของบิลล์ เกตส์นับเป็นการเปิดโลกใหม่ด้านการศึกษาด้วยการนำระบบคอมพิวเตอร์สมัยใหม่ และทางด่วนข้อมูลที่สามารถเชื่อมโยงกันได้ทั่วโลกเข้ามาเป็นตัวกระตุ้น     การปฏิวัติระบบการเรียนการสอนที่มีอยู่เดิม ถึงแม้ว่าเขาจะย้ำว่าห้องเรียนยังคงมีอยู่เหมือนเดิม เพื่อลดการต่อต้านด้านเทคโนโลยี  แต่จากรายละเอียดที่เขานำเสนอ จะพบว่าการเรียนการสอนในอนาคตจะต้องเปลี่ยนไปมาก  ความหวังของนักศึกษาทุกคนก็คือ การเปิดโอกาสให้เด็กสามารถเรียนได้เป็นรายบุคคลโดยมีการวางแผนร่วมกับครู ถ้าคนในวงการศึกษาไม่ปรับเปลี่ยนจะล้าหลังกว่าวงการอื่น ๆ อย่างแน่นอน


การจัดปัจจัยสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีช่วยการเรียนรู้

                   ปัจจัยพื้นฐาน คือ การสร้างความพร้อมของเครื่องมืออุปกรณ์ต่าง ๆ ให้มีสรรถนะและจำนวนเพียงพอต่อการใช้งานของผู้เรียน รวมถึงการอำนวยความสะดวกให้ผู้เรียนสามารถใช้เทคโนโลยีได้ตลอดเวลา จะเป็นปัจจัยเบื้องต้นของการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู้   สิ่งที่ควรเป็นปัจจัยเพิ่มเติม คือ
                         1.  ครูสร้างโอกาสในการใช้เทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู้
                                ปัจจัยที่จะผลักดันให้มีการใช้เทคโนโลยีอย่างคุ้มค่า คือ การที่ครูออกแบบกระบวนการเรียนรู้ให้เอื้อต่อการทำกิจกรรมประกอบการเรียนรู้ เป็นกิจกรรมที่ต้องใช้กระบวนการแสวงหาความรู้จากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ทั้งจากการสังเกตในสถานการณ์จริง การทดลอง การค้นคว้าจากสื่อสิ่งพิมพ์ และจากสื่อ Electronic เช่น จาก Web Sites เป็นกิจกรรมที่ต้องมีการทำโครงงานอิสระสนองความสนใจ เป็นกิจกรรมที่ต้องฝึกปฏิบัติจาก Software สำเร็จรูป เป็นกิจกรรมที่ต้องมีการบันทึก วิเคราะห์ข้อมูล และการนำเสนอรายงานด้วยคอมพิวเตอร์ เป็นต้น
                         2.  ครู และผู้เรียนจัดทำระบบแหล่งข้อมูลสารสนเทศเพื่อการเรียนรู้
                                ปัจจัยด้านแหล่งข้อมูลสารสนเทศ (Information Sources) เป็นตัวเสริมที่สำคัญที่ช่วยเพิ่มคุณค่าของระบบเทคโนโลยีเพื่อการเรียนการสอน ครู และผู้เรียนควรช่วยกันแสวงหาแหล่งข้อมูลสารสนเทศที่มีเนื้อหาสาระตรงกับหลักสูตร หรือสนองความสนใจของผู้เรียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรวบรวมแหล่งข้อมูลสารสนเทศที่เป็น Software ชื่อของ Web Sites รวมถึงการลงทุนจัดซื้อ Software จากแหล่งจำหน่าย การจ้างให้ผู้เชี่ยวชาญจัดทำ หรือจัดทำพัฒนาขึ้นมาเองโดยครู และนักเรียน
                         3.  สถานศึกษาจัดศูนย์ข้อมูลสารสนเทศเพื่อการเรียนรู้
                                ศูนย์ข้อมูลสารสนเทศเพื่อการเรียนรู้ (Learning Resources Center) เป็นตัวชี้วัดสำคัญประการหนึ่งของศักยภาพของสถานศึกษาที่จะส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู้ของครู และผู้เรียน  ปกติมักนิยมจัดไว้เป็นส่วนหนึ่งของห้องสมุด จนเกิดคำศัพท์ว่าห้องสมุดเสมือน (Virtual Library) หรือ E – Library  จะมีคุณประโยชน์ในการมีแหล่งข้อมูลสารสนเทศเพื่อการศึกษาค้นคว้า ในวิทยาการต่าง ๆ ทั้งในลักษณะสื่อสำเร็จ เช่น Software แถบบันทึกวีดิทัศน์ รวมถึง CD – Rom  และ CAI หรือ ชื่อ Web Sites ต่าง ๆ ซึ่งควรจัดทำระบบ Catalog และดัชนี ให้สะดวกต่อการสืบค้น
                         4.  การบริการของกรมหรือหน่วยงานกลางทางเทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู้
                                กรมต้นสังกัดหรือหน่วยงานกลางด้านเทคโนโลยีควรส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีของสถานศึกษาด้วยการบริการด้านข้อมูลสารสนเทศ เช่น จัดทำเอกสารรายเดือน รายงาน Software ในท้องตลาด แจ้งชื่อ Web Sites ใหม่ ๆ พร้อมสาระเนื้อหาโดยย่อ จัดทำคลังข้อมูลความรู้ Knowledge Bank เพื่อการเรียนรู้ในด้านต่าง ๆ ผ่านสื่อ Electronic หรือสื่อทางไกลผ่านดาวเทียมเผยแพร่สนองความต้องการ และความสนใจของผู้เรียนเป็นประจำ นอกจากนี้การรวบรวมผลงานของครู และนักเรียนในการจัดกระบวนการเรียนการสอนด้วยเทคโนโลยี ที่เรียกว่า Best Practices จะเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับครู และนักเรียนทั่วไปที่จะใช้เทคโนโลยีเพื่อช่วยการเรียนการสอน